SCRIPTURAE PRIMUM ET SOLUM
ลิงก์ (สีฟ้า) ในภาษาที่คุณเลือกนำคุณไปยังบทความอื่นที่เขียนด้วยภาษาเดียวกัน ลิงก์สีน้ำเงินที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษจะนำคุณไปสู่บทความภาษาอังกฤษ ในกรณีนี้คุณสามารถเลือกจากสามภาษาอื่น ๆ ได้แก่ สเปนโปรตุเกสและฝรั่งเศส
(บทความ "การสอนพื้นฐานของพระคัมภีร์" อยู่หลังจาก "ชีวิตนิรันดร์")
ชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์บนดิน (วิดีโอบน Twitter)
ชีวิตนิรันดร์
ความหวังในความสุขคือความแข็งแกร่งของความยืดหยุ่นของเรา
“เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มเกิดขึ้นให้พวกคุณยืดตัวตรงและเชิดหน้าขึ้นเพราะพระเจ้าจะมาช่วยพวกคุณให้รอดแล้ว”
(ลูกา21:28)
หลังจากบรรยายเหตุการณ์อันน่าพิศวงก่อนอวสานของระบบนี้ ในช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดที่เรามีชีวิตอยู่ตอนนี้ พระเยซูคริสต์ทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ให้ "เงยหน้าขึ้น" เพราะความสมหวังของเราจะเป็นจริงในไม่ช้า
จะรักษาความสุขไว้ได้อย่างไรแม้มีปัญหาส่วนตัว? อัครสาวกเปาโลเขียนว่าเราต้องทำตามแบบแผนของพระเยซูคริสต์: “ดังนั้น ในเมื่อเรามีพยานมากมายเหมือนเมฆก้อนใหญ่อยู่รอบเราอย่างนี้ ให้เราปลดของหนักทุกอย่างทิ้งไป รวมทั้งบาปที่รัดตัวเราได้ง่าย และให้เราวิ่งแข่งด้วยความมานะอดทนบนทางที่อยู่ตรงหน้าเรา พร้อมกับจ้องมองพระเยซู ท่านเป็นผู้นำคนสำคัญที่ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ครบถ้วน ท่านยอมทนทุกข์และไม่คิดถึงความอับอายที่ต้องตายบนเสาทรมานเพราะท่านคิดถึงความยินดีที่รออยู่ข้างหน้า และตอนนี้ท่านนั่งอยู่ข้างขวาบัลลังก์ของพระเจ้าแล้ว ขอให้พวกคุณสังเกตดูพระเยซูให้ดี พวกคุณจะได้ไม่ท้อถอยและยอมแพ้ ท่านทนกับคำพูดดูถูกเหยียดหยามของคนบาป ซึ่งคำพูดนั้นกลับเข้าตัวเขาเอง" (ฮีบรู 12:1-3).
พระเยซูคริสต์ทรงเสริมกำลังเมื่อเผชิญกับปัญหาโดยความชื่นชมยินดีแห่งความหวังที่วางไว้ต่อหน้าพระองค์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะดึงพลังงานเพื่อเติมพลังความอดทนของเรา ผ่าน "ปีติ" แห่งความหวังของเราเรื่องชีวิตนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้าเรา เมื่อพูดถึงปัญหาของเรา พระเยซูคริสต์ตรัสว่าเราต้องแก้ปัญหาทุกวัน: "ดังนั้น ผมจะบอกคุณว่า เลิกกังวลได้แล้วกับเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ว่าจะมีกินมีดื่มไหม หรือกังวลว่าจะมีเสื้อผ้าใส่หรือเปล่า ชีวิตสำคัญกว่าอาหารและร่างกายสำคัญกว่าเสื้อผ้าไม่ใช่หรือ? ดูนกที่บินบนฟ้าสิ พวกมันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยวหรือสะสมเมล็ดพืชไว้ในยุ้งฉาง แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์เลี้ยงดูพวกมันอยู่ คุณมีค่ามากกว่านกไม่ใช่หรือ? พวกคุณมีใครไหมที่กังวลแล้วจะต่อชีวิตได้อีกสักนิดหนึ่ง? จะกังวลกับเรื่องเสื้อผ้าไปทำไม? ดูดอกไม้ในทุ่งสิ มันงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ต้องตรากตรำทำงานและไม่ต้องทอผ้า แต่รู้ไหมว่า แม้แต่กษัตริย์โซโลมอนตอนที่แต่งตัวเต็มยศก็ยังไม่งามเท่ากับดอกไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ในทุ่งเลย ถ้าพระเจ้าตกแต่งดอกไม้ใบหญ้าในทุ่งซึ่งอยู่แค่วันนี้ และพรุ่งนี้ก็จะถูกเผาทิ้ง พระองค์จะไม่ตกแต่งคุณมากกว่านั้นหรือ พวกคุณมีความเชื่อน้อยจริง ๆ ดังนั้น อย่ากังวลว่าจะมีกินมีดื่มไหม หรือจะมีเสื้อผ้าใส่หรือเปล่า คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเสาะแสวงหาของพวกนี้ แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องมีของทั้งหมดนี้" (มัทธิว 6:25-32) หลักการง่าย ๆ เราต้องใช้ปัจจุบันเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น วางใจในพระเจ้า เพื่อช่วยเราหาทางแก้ไข "ดังนั้น คุณต้องทำให้การปกครอง*ของพระเจ้าและความถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แล้วพระองค์จะให้คุณมีสิ่งจำเป็นทั้งหมดนี้ ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องของพรุ่งนี้ให้กังวลอีก แต่ละวันมีปัญหามากพออยู่แล้ว" (มัทธิว 6:33,34) การใช้หลักการนี้จะช่วยให้เราจัดการพลังงานทางจิตหรืออารมณ์เพื่อจัดการกับปัญหาประจำวันของเราได้ดีขึ้น พระเยซูคริสต์ตรัสว่าอย่าวิตกกังวลมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้จิตใจเราสับสนและเอาพลังงานทางวิญญาณทั้งหมดไปจากเรา (เปรียบเทียบกับมาระโก 4:18,19)
เพื่อกลับไปสู่กำลังใจที่เขียนไว้ในฮีบรู 12:1-3 เราต้องใช้ความสามารถทางจิตของเราในการมองไปยังอนาคตด้วยความสุขในความหวังซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์: "แต่ผลที่เกิดจากพลังของพระเจ้า คือ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทนอดกลั้น ความกรุณา ความดี ความเชื่อ ความอ่อนโยน และการควบคุมตัวเอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีกฎหมายห้ามเลย" (กาลาเทีย 5:22,23) มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้มีความสุข และคริสเตียนประกาศ “ข่าวดีของพระเจ้ามีความสุข” (1 ทิโมธี 1:11) ในขณะที่ระบบนี้อยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ เราต้องเป็นจุดศูนย์กลางของความสว่างโดยข่าวประเสริฐที่เราแบ่งปัน แต่ด้วยความชื่นชมยินดีในความหวังของเราที่เราต้องการฉายแสงไปยังผู้อื่น: "คุณเป็นเหมือนแสงสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะซ่อนจากสายตาคนไม่ได้ เมื่อคนเราจุดตะเกียงแล้วจะไม่เอาถังครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างให้กับทุกคนในบ้าน คล้ายกัน ให้คุณส่องแสงสว่างให้คนอื่นเห็นด้วยการทำดี พอเขาเห็นความดีของคุณ เขาก็จะยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพ่อของคุณในสวรรค์" (มัทธิว 5:14-16) วิวิดีโอต่อไปนี้และรวมถึงบทความตามความหวังของชีวิตนิรันดร์ได้รับการพัฒนาโดยมีวัตถุประสงค์แห่งความสุขในความหวัง: "ดีใจได้เลย เพราะคุณจะได้รางวัลที่มีค่ามากในสวรรค์ พวกผู้พยากรณ์ในสมัยก่อนก็โดนข่มเหงเหมือนคุณนี่แหละ” (มัทธิว 5:12) ขอให้เราสร้างความชื่นชมยินดีแด่พระยาห์เวห์ที่มั่นของเรา: “อย่าเศร้าเลย เพราะความยินดีที่ได้รับจากพระยะโฮวาจะทำให้พวกคุณมีกำลังเข้มแข็ง” (เนหะมีย์ 8:10)
ชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์บนดิน
ชีวิตนิรันดร์โดยการปลดปล่อยมนุษย์จากพันธนาการแห่งบาป
“พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป (…) พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย แต่จะมีชีวิตตลอดไป"
(จอห์น 3:16,36)
เมื่อพระเยซูคริสต์บนโลกมักสอนความหวังของชีวิตนิรันดร์ อย่างไรก็ตามเขายังสอนด้วยว่าชีวิตนิรันดร์นั้นจะได้มาจากศรัทธาในการเสียสละของพระคริสต์เท่านั้น (ยอห์น 3:16,36) มูลค่าไถ่ของการเสียสละของพระคริสต์จะช่วยให้การรักษาและการฟื้นคืนชีพ
ปลดปล่อยให้เป็นอิสระผ่านพรของการเสียสละของพระคริสต์
"เหมือนที่ ‘ลูกมนุษย์’ ไม่ได้มาให้คนอื่นรับใช้ แต่มารับใช้คนอื่น และสละชีวิตเป็นค่าไถ่ให้คนมากมาย"
(มัทธิว 20:28)
"หลังจากที่โยบอธิษฐานเพื่อเพื่อน ๆ แล้ว พระยะโฮวาก็ช่วยโยบให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน และให้เขากลับมาร่ำรวยเหมือนเดิม พระยะโฮวาให้โยบมีทุกสิ่งมากกว่าเดิมถึงสองเท่า" (โยบ 42:10) มันจะเหมือนกันสำหรับสมาชิกทุกคนของฝูงชนผู้ยิ่งใหญ่ที่จะรอดชีวิตจากความยากลำบากครั้งใหญ่ พระยะโฮวาพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ จะอวยพรพวกเขาดังที่สาวกเจมส์เตือนเราว่า: เราถือว่าคนที่อดทนก็มีความสุข พวกคุณเคยได้ยินเรื่องความอดทนของโยบ และรู้ว่าตอนจบพระยะโฮวา ให้อะไรกับเขาบ้าง นั่นแสดงว่าพระยะโฮวา เมตตา และมีความเห็นอกเห็นใจจริง" (ยากอบ 5:11)
การเสียสละของพระคริสต์ที่จะรักษามนุษยชาติ
"และจะไม่มีใครที่อยู่ในแผ่นดินนั้นพูดว่า “ฉันป่วย” เพราะผู้คนที่อยู่ที่นั่นได้รับการยกโทษและไม่มีความผิดแล้ว" (อิสยาห์ 33:24)
“ในตอนนั้น คนตาบอดจะมองเห็น คนหูหนวกจะได้ยิน ในตอนนั้น คนง่อยจะกระโดดโลดเต้นได้เหมือนกวาง คนใบ้จะโห่ร้องอย่างมีความสุข น้ำจะพุ่งขึ้นมาในที่กันดาร และจะมีลำธารมากมายในที่ราบกันดาร" (อิสยาห์ 35:5,6)
การเสียสละของพระคริสต์จะทำให้มนุษย์ยังเยาว์วัยอีกครั้ง
"ให้เนื้อหนังของเขาเปล่งปลั่ง ยิ่งกว่าตอนเป็นเด็ก และให้เขากลับมีเรี่ยวแรงเหมือนตอนเป็นหนุ่ม’" (โยบ 33:25)
การเสียสละของพระคริสต์จะช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพ
"หลายคนที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมา บางคนจะฟื้นขึ้นมามีชีวิตตลอดไป" (ดาเนียล 12:2)
"และผมมีความหวังในพระเจ้าเหมือนที่พวกเขามี ความหวังของผมก็คือทั้งคนดี และคนชั่ว จะฟื้นขึ้นจากตาย" (กิจการ 24:15)
"ไม่ต้องแปลกใจในเรื่องนี้ เพราะจะมีเวลาที่ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ จะได้ยินเสียงท่าน และจะออกมา คนที่ทำดีจะฟื้นขึ้นมาแล้วได้ชีวิต ส่วนคนที่ทำชั่วจะฟื้นขึ้นมาแล้วถูกตัดสินลงโทษ" (จอห์น 5:28,29)
"แล้วผมก็เห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาวกับผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น โลกและฟ้าสวรรค์หายวับไปจากสายตาพระองค์ ไม่มีที่สำหรับโลกและฟ้าสวรรค์อีกเลย แล้วผมก็เห็นคนตายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์นั้น และม้วนหนังสือต่าง ๆ ถูกคลี่ออก มีม้วนหนังสืออีกม้วนหนึ่งถูกคลี่ออกด้วย คือม้วนหนังสือที่มีรายชื่อคนที่จะได้ชีวิต แล้วคนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตัวเองโดยอาศัยสิ่งที่เขียนไว้ในม้วนหนังสือต่าง ๆ นั้น ทะเลได้ปล่อยคนที่ตายในทะเล ความตายและหลุมศพ ก็ปล่อยคนตายที่อยู่ในนั้น แล้วพวกเขาแต่ละคนก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตัวเอง" (วิวรณ์ 20:11-13)
คนที่ไม่ยุติธรรมที่ฟื้นคืนชีพจะถูกตัดสินบนพื้นฐานของการกระทำที่ดีหรือไม่ดีของพวกเขาในโลกใหม่ในอนาคต
การเสียสละของพระคริสต์จะทำให้ฝูงชนผู้ยิ่งใหญ่รอดจากความยากลำบากครั้งใหญ่และมีชีวิตนิรันดร์โดยไม่ตาย
"หลังจากนั้น ผมก็เห็น ดูนั่น! มีชนฝูงใหญ่ที่ไม่มีใครนับจำนวนได้ จากทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกชนชาติ และทุกภาษา ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และหน้าลูกแกะของพระเจ้า พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว และถือใบปาล์ม พวกเขาตะโกนไม่หยุดว่า “ความรอดมาจากพระเจ้าของเราผู้นั่งบนบัลลังก์ และมาจากลูกแกะของพระองค์”
แล้วทูตสวรรค์ทุกองค์ที่ยืนอยู่รอบบัลลังก์และรอบพวกผู้ปกครอง กับสิ่งมีชีวิต 4 ตนนั้นก็หมอบลงนมัสการพระเจ้าตรงหน้าบัลลังก์นั้น และพูดว่า “อาเมน ขอให้พระเจ้าของเราได้รับคำสรรเสริญ เกียรติยศ สติปัญญา การขอบคุณ ความนับถือ ฤทธิ์อำนาจ และกำลังตลอดไป อาเมน”
แล้วผู้ปกครองคนหนึ่งก็ถามผมว่า “คนที่ใส่เสื้อคลุมยาวสีขาว พวกนี้เป็นใครและมาจากไหน?” ผมตอบทันทีว่า “ท่านครับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกผมว่า “พวกเขาเป็นคนที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ และได้ซักเสื้อคลุมของตัวเองและทำให้ขาวด้วยเลือดของลูกแกะของพระเจ้า เพราะอย่างนี้ พวกเขาถึงได้มาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าและทำงานรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้พระองค์ทั้งวันทั้งคืนในวิหารของพระองค์ และพระองค์ผู้นั่งบนบัลลังก์ นั้นจะกางเต็นท์ของพระองค์ปกป้องพวกเขา พวกเขาจะไม่หิวและกระหายอีกเลย ดวงอาทิตย์และความร้อนจะไม่แผดเผาพวกเขา เพราะลูกแกะของพระเจ้า ซึ่งอยู่ตรงกลางที่บัลลังก์นั้นตั้งอยู่จะเลี้ยงดูพวกเขา และจะพาพวกเขาไปที่น้ำพุต่าง ๆ ซึ่งมีน้ำที่ให้ชีวิต แล้วพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา”" (วิวรณ์ 7:9-17) (ฝูงชนจำนวนมากของทุกประเทศจะรอดชีวิตจากความยากลำบากครั้งใหญ่)
อาณาจักรของพระเจ้าจะปกครองโลก
"จากนั้น ผมเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ฟ้าสวรรค์เก่าและโลกเก่านั้นสูญสิ้นไปแล้ว และไม่มีทะเล+อีกต่อไป ผมเห็นเมืองบริสุทธิ์ด้วย คือเยรูซาเล็มใหม่ที่กำลังลงมาจากสวรรค์ เมืองนั้นมาจากพระเจ้า และเตรียมไว้พร้อมเหมือนเจ้าสาวที่แต่งตัวอย่างสวยงามสำหรับเจ้าบ่าว แล้วผมได้ยินเสียงดังจากบัลลังก์นั้นบอกว่า “ดูนั่นสิ เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์*ของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะอยู่กับพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชาชนของพระองค์ พระเจ้าจะอยู่กับพวกเขา และพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย สิ่งที่เคยมีอยู่นั้นผ่านพ้นไปแล้ว”" (วิวรณ์ 21:1-4) (อาณาจักรของพระเจ้าบนโลก; เจ้าชาย; นักบวช; เลวี)
คนชอบธรรมจะดำรงอยู่เป็นนิตย์และคนชั่วจะพินาศ
“คนที่จิตใจอ่อนโยน ก็มีความสุข เพราะเขาจะได้รับโลกเป็นรางวัล” (มัทธิว 5:5)
"อีกหน่อยจะไม่มีคนชั่วเลย ถึงจะมองหาในที่ที่พวกเขาเคยอยู่ คุณก็จะไม่เจอพวกเขา แต่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนจะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะชื่นชมยินดีและมีแต่ความสงบสุข คนชั่ววางแผนทำร้ายคนดี เขากัดฟันเพราะโกรธคนดีมาก แต่พระยะโฮวาจะหัวเราะใส่คนชั่ว เพราะพระองค์รู้ว่าวันหนึ่งเขาจะถูกทำลาย คนชั่วชักดาบออกมาและโก่งคันธนู เพื่อจะกำจัดคนที่ทุกข์ลำบากและคนจน เพื่อจะฆ่าคนที่ซื่อตรง แต่ดาบนั้นจะแทงหัวใจของพวกเขาเอง และคันธนูของพวกเขาจะถูกหัก (...) เพราะแขนของคนชั่วจะถูกหัก แต่พระยะโฮวาจะช่วยเหลือคนดี (...) แต่คนชั่วจะพินาศ ศัตรูของพระยะโฮวาจะหายไปเหมือนความงามของทุ่งหญ้า พวกเขาจะสลายไปเหมือนควัน (...) คนดี จะได้อยู่ในโลก พวกเขาจะได้อยู่ในโลกตลอดไป (...) รอคอยพระยะโฮวา และใช้ชีวิตตามแนวทางของพระองค์ แล้วพระองค์จะยกย่องคุณและให้คุณได้อยู่ในโลก คุณจะได้เห็น ตอนที่คนชั่วถูกทำลาย (...) ลองสังเกตดูคนที่ไม่มีตำหนิ และคอยดูคนซื่อตรง เพราะในวันข้างหน้าเขาจะมีสันติสุข แต่ทุกคนที่ทำบาปจะถูกทำลาย และคนชั่วจะไม่มีอนาคต พระยะโฮวาจะช่วยคนดีให้รอด พระองค์เป็นป้อมปราการของพวกเขาในเวลาทุกข์ยาก พระยะโฮวาจะช่วยพวกเขาให้พ้นภัย พระองค์จะช่วยพวกเขาให้รอดจากคนชั่ว เพราะพวกเขาหวังพึ่งพระองค์" (สดุดี 37:10-15, 17, 20, 29, 34, 37-40)
“ดังนั้น ลูกต้องเดินในแนวทางของคนดี และอยู่บนหนทางของคนทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะคนซื่อตรงจะได้อยู่บนโลก และคนดีไม่มีที่ติ จะอยู่บนโลกต่อไป แต่คนชั่วจะถูกทำลายให้หมดไปจากโลก และคนทรยศจะถูกกำจัดให้สิ้นซาก (...) คนดีจะได้รับพร แต่คนชั่วพูดกลบเกลื่อนเจตนาร้ายของตัวเอง ชื่อเสียงของ คนดีจะทำให้เขาได้รับพร แต่ชื่อเสียงของคนชั่วจะเสียไป" (สุภาษิต 2:20-22; 10:6,7)
สงครามจะยุติลงจะมีสันติสุขในใจและทั่วแผ่นดิน
"คุณเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ให้รักเพื่อนบ้าน และเกลียดชังศัตรู’ แต่ผมจะบอกคุณว่า ให้รักศัตรูของคุณ และอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงคุณ ถ้าทำอย่างนั้น คุณก็จะเป็นลูกแท้ ๆ ของพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ เพราะพระองค์ให้ดวงอาทิตย์ส่องแสงแก่ทั้งคนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่ทั้งคนทำดี และคนทำชั่ว ถ้าคุณรักคนที่รักคุณ พระเจ้าจะมองคุณว่าพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน? พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน และถ้าคุณทักทายแต่เพื่อน*ของคุณ คุณทำอะไรพิเศษกว่าคนอื่น ๆ หรือ? คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ดังนั้น คุณต้องเป็นคนดีพร้อมเหมือนพระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์” (มัทธิว 5:43-48)
“ถ้าคุณให้อภัยคนที่ทำผิดต่อคุณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อในสวรรค์ก็จะให้อภัยคุณด้วย แต่ถ้าคุณไม่ให้อภัยคนอื่น พระองค์ก็จะไม่ให้อภัยคุณเหมือนกัน” (มัทธิว 6:14,15)
“พระเยซูบอกคนนั้นว่า “เก็บดาบใส่ฝักซะ เพราะทุกคนที่ใช้ดาบจะตายด้วยดาบ"" (มัทธิว 26:52)
“มาสิ มาดูสิ่งที่พระยะโฮวาทำ มาดูพระองค์ทำสิ่งมหัศจรรย์ในโลกนี้ พระองค์จะทำให้ทั่วโลกไม่มีสงครามอีกเลย พระองค์หักคันธนูกับหอก และเผารถรบ ด้วยไฟ" (สดุดี 46:8,9)
“พระองค์จะตัดสินความให้กับชาติต่าง ๆ และจะจัดการเรื่องราวของชนชาติเหล่านั้นให้ถูกต้องเรียบร้อย พวกเขาจะเอาดาบตีเป็นผาลไถนา และเอาหอกตีเป็นมีดตัดแต่งกิ่ง ชาติต่าง ๆ จะไม่ถือดาบเข่นฆ่ากัน และจะไม่เรียนทำสงครามอีกต่อไป" (อิสยาห์ 2:4)
“ในสมัยสุดท้าย ภูเขาที่มีวิหารของพระยะโฮวาตั้งอยู่ จะตั้งมั่นคงและสูงกว่าภูเขาอื่น ๆ และจะถูกยกให้สูงเด่นกว่าภูเขาทุกลูก ผู้คนจากทุกชาติจะหลั่งไหลไปที่นั่น ชนชาติต่าง ๆ จะพากันไปและพูดว่า “ขึ้นไปบนภูเขาของพระยะโฮวากันเถอะ ไปที่วิหารของพระเจ้าของยาโคบ พระองค์จะสอนเราให้รู้แนวทางของพระองค์ และเราจะได้ใช้ชีวิตตามแนวทางนั้น” เพราะคำสั่งสอน*จะมาจากศิโยน และคำสอนของพระยะโฮวาจะมาจากเยรูซาเล็ม พระองค์จะตัดสินความให้กับชนชาติต่าง ๆ และจะจัดการเรื่องราวของชนชาติที่อยู่ห่างไกลให้ถูกต้องเรียบร้อย พวกเขาจะเอาดาบตีเป็นผาลไถนา และเอาหอกตีเป็นมีดตัดแต่งกิ่ง ชาติต่าง ๆ จะไม่ถือดาบเข่นฆ่ากัน และจะไม่เรียนทำสงครามอีกต่อไป พวกเขาจะได้นั่ง ใต้ต้นองุ่นและต้นมะเดื่อของตัวเอง จะไม่มีใครทำให้พวกเขากลัว พระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพบอกว่าจะเป็นอย่างนั้น" (มีคา 4:1-4)
จะมีอาหารมากมายทั่วโลก
“จะมีข้าวมากมายในแผ่นดิน บนยอดเขาทั้งหลายจะมีข้าวอุดมสมบูรณ์ พืชผลของเขาจะงอกงามเหมือนที่เลบานอน และจะมีประชาชนอยู่ในเมืองต่าง ๆ เหมือนต้นไม้ใบหญ้าในแผ่นดิน” (สดุดี 72:16)
“พระองค์จะให้ฝนแก่เมล็ดพืชที่คุณหว่านลงในดิน และอาหารซึ่งเป็นผลผลิตจากดินจะอุดมสมบูรณ์และมีประโยชน์ ในวันนั้น สัตว์ของคุณจะหากินอยู่ในทุ่งกว้าง” (อิสยาห์ 30:23)
ปาฏิหาริย์ของพระเยซูคริสต์เพื่อเสริมสร้างศรัทธาในความหวังของชีวิตนิรันดร์
พระเยซูคริสต์และการอัศจรรย์ครั้งแรกที่เขียนไว้ในข่าวประเสริฐของยอห์น พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น: "องวันต่อมา มีงานแต่งงานที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี แม่ของพระเยซูก็อยู่ในงานเลี้ยงนั้น พระเยซูกับพวกสาวกได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย เมื่อเหล้าองุ่นใกล้หมด แม่ของพระเยซูมาบอกท่านว่า “ทำยังไงดี เหล้าองุ่นจะหมดแล้ว?” แต่พระเยซูตอบเธอว่า “เราอย่าไปกังวลเลยแม่ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาของผม” แม่ของท่านจึงบอกพวกคนรับใช้ว่า “พวกคุณคอยทำตามที่เขาสั่งนะ” ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่ 6 ใบเพื่อใช้ในพิธีชำระล้างตามกฎของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณ 2 หรือ 3 ถัง พระเยซูบอกพวกคนรับใช้ว่า “เอาน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” พวกเขาก็เอาน้ำใส่จนเต็มถึงปากโอ่ง แล้วท่านสั่งอีกว่า “ตักไปให้ผู้ดูแลงานเลี้ยงสิ” พวกเขาก็ทำตาม ตอนที่ผู้ดูแลงานเลี้ยงชิมน้ำนั้น มันกลายเป็นเหล้าองุ่นไปแล้ว เขาไม่รู้ว่ามันมาจากไหน แต่พวกคนรับใช้รู้ ผู้ดูแลงานเลี้ยงเรียกเจ้าบ่าวมา และพูดกับเขาว่า “ใคร ๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นดี ๆ มาให้ดื่มก่อน เมื่อแขกเมาแล้วค่อยเอาที่ไม่ค่อยดีมาให้ แต่คุณกลับเก็บเหล้าองุ่นดี ๆ ไว้จนถึงตอนนี้” พระเยซูทำการอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลี เพื่อเป็นหลักฐานบอกฐานะและอำนาจของท่าน ทำให้พวกสาวกมีความเชื่อในตัวท่าน" (ยอห์น 2:1-11)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาบุตรผู้รับใช้ของกษัตริย์: "แล้วพระเยซูก็ไปที่เมืองคานาในแคว้นกาลิลีซึ่งเป็นเมืองที่ท่านเคยเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น มีข้าราชการคนหนึ่งในเมืองคาเปอร์นาอุมที่ลูกชายป่วยอยู่ เมื่อข้าราชการคนนั้นได้ข่าวว่าพระเยซูออกจากแคว้นยูเดียมาที่แคว้นกาลิลี เขาก็เดินทางมาหาท่านและขอให้ไปรักษาลูกชายของเขาที่กำลังจะตาย แต่พระเยซูบอกเขาว่า “พวกคุณที่อยู่ในแถบนี้ไม่เชื่อผมหรอก ถ้าไม่ได้เห็นการอัศจรรย์และปาฏิหาริย์ก่อน” ข้าราชการคนนั้นอ้อนวอนท่านว่า “ท่านครับ ช่วยไปกับผมด้วยเถอะ ไม่อย่างนั้นลูกของผมตายแน่” พระเยซูบอกเขาว่า “กลับไปเถอะ ลูกชายของคุณหายดีแล้ว” เขาเชื่อคำพูดของท่านแล้วก็ไป ระหว่างทาง ทาสของเขามาส่งข่าวว่าลูกชายหายเป็นปกติแล้ว เขาจึงถามว่าลูกชายเขาหายป่วยตั้งแต่เมื่อไร พวกทาสตอบว่า “ลูกชายท่านหายไข้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ตอนบ่ายโมง ครับ” พ่อของเด็กจึงรู้ว่าเป็นเวลาเดียวกับที่พระเยซูพูดว่า “ลูกชายของคุณหายดีแล้ว” ตัวเขาและทุกคนในบ้านจึงเชื่อในพระเยซู นี่เป็นการอัศจรรย์ครั้งที่สอง ซึ่งพระเยซูทำที่แคว้นกาลิลีหลังออกจากแคว้นยูเดีย" (ยอห์น 4:46-54)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายที่ถูกผีสิงในเมืองคาเปอรนาอุม: "พระเยซูไปที่เมืองคาเปอร์นาอุมในแคว้นกาลิลี และสอนประชาชนในวันสะบาโต คนที่ได้ฟังก็รู้สึกทึ่งกับวิธีสอนของพระเยซู เพราะท่านสอนแบบคนที่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า ในที่ประชุมนั้น มีผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกปีศาจร้ายสิงอยู่ เขาตะโกนเสียงดังว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ มายุ่งกับพวกเราทำไม? จะมาทำลายพวกเราหรือไง? เรารู้นะว่าท่านเป็นใคร ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” แต่พระเยซูห้ามมันว่า “เงียบ! ออกไปจากเขาเดี๋ยวนี้” ปีศาจก็ทำให้คนนั้นล้มลงกลางฝูงชนแล้วออกไปจากเขาโดยไม่ได้ทำอันตราย ทุกคนประหลาดใจและพูดกันว่า “อะไรกันนี่? คำพูดของเขามีพลังอำนาจถึงขนาดสั่งปีศาจร้ายให้ออกมาได้เลยหรือ?” เรื่องของพระเยซูก็เล่าลือไปทั่วแถบนั้น" (ลูกา 4:31-37)
พระเยซูคริสต์ทรงขับผีออกในดินแดนแห่งกาดารีน (ปัจจุบันคือจอร์แดน ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ใกล้ทะเลสาบทิเบเรียส): "แล้วพระเยซูก็ไปถึงอีกฝั่งหนึ่งในเขตแดนของชาวกาดารา ที่นั่นมีผู้ชาย 2 คนที่ถูกปีศาจสิง พวกเขาออกมาจากสุสานและมาเจอท่าน สองคนนี้ดุร้ายมากจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านทางนั้นเลย พวกเขาร้องโวยวายว่า “ลูกของพระเจ้า มายุ่งกับพวกเราทำไม? จะมาทรมานพวกเรา ก่อนเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้หรือ?” ไกลจากที่นั่นพอสมควร มีหมูฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ ปีศาจพวกนั้นจึงขอร้องพระเยซูว่า “ถ้าจะขับไล่พวกเราออกไป ขอให้พวกเราไปเข้าสิงในหมูฝูงนั้นแทนเถอะ” ท่านบอกพวกมันว่า “ไปสิ” พวกมันก็ออกไปเข้าสิงในหมูพวกนั้น แล้วหมูทั้งฝูงก็กระโดดจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบและจมน้ำตายหมด ส่วนคนเลี้ยงหมูก็วิ่งหนีเข้าไปในเมือง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ชาวเมืองฟัง รวมทั้งเรื่องผู้ชายสองคนที่ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองจึงมาหาพระเยซู เมื่อเจอท่านแล้ว พวกเขาก็ขอให้ท่านออกไปจากเขตแดนของเขา" (มัทธิว 8:28-34)
พระเยซูคริสต์รักษาแม่เลี้ยงของอัครสาวกเปโตร: "ตอนที่พระเยซูมาถึงบ้านของเปโตร ท่านเห็นแม่ยายของเขา นอนป่วยเป็นไข้อยู่ พระเยซูจึงแตะมือเธอ เธอก็หายไข้แล้วลุกขึ้นมารับใช้ท่าน" (มัทธิว 8:14,15)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายคนหนึ่งที่มือเป็นอัมพาต: "วันสะบาโตอีกวันหนึ่ง พระเยซูเข้าไปสอนในที่ประชุมของชาวยิว มีผู้ชายคนหนึ่งที่มือขวาลีบอยู่ที่นั่นด้วย พวกครูสอนศาสนากับพวกฟาริสีคอยจ้องจับผิดพระเยซูว่าจะรักษาโรคในวันสะบาโตไหม แต่ท่านรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดกับคนมือลีบว่า “ลุกขึ้นมายืนข้างหน้านี้หน่อย” เขาก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซูพูดกับพวกนั้นว่า “ขอถามหน่อย ตามกฎวันสะบาโต ควรทำดีหรือทำชั่ว ควรช่วยชีวิตหรือทำลายชีวิต?” พระเยซูกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบ ๆ แล้วพูดกับผู้ชายมือลีบว่า “เหยียดมือออกมาสิ” เขาก็เหยียดมือออก และมือที่ลีบก็หายเป็นปกติ พวกครูสอนศาสนากับพวกฟาริสีโกรธแค้นมากและปรึกษากันว่าจะจัดการกับพระเยซูอย่างไร" (ลูกา 6:6-11)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายที่มีอาการท้องมาน (อาการบวมน้ำ การสะสมของของเหลวในร่างกายมากเกินไป): "ครั้งหนึ่งในวันสะบาโต พระเยซูไปกินอาหารที่บ้านของผู้นำฟาริสีคนหนึ่ง คนที่นั่นคอยจับตาดูท่านอยู่ มีผู้ชายคนหนึ่งเป็นโรคบวมน้ำอยู่ตรงหน้าพระเยซูด้วย พระเยซูจึงถามพวกที่เชี่ยวชาญกฎหมายของโมเสสและพวกฟาริสีว่า “ผิดไหมถ้าจะรักษาโรคในวันสะบาโต?” แต่พวกเขาไม่ตอบอะไร พระเยซูจึงวางมือบนผู้ชายคนนั้น รักษาเขา และให้เขากลับไป แล้วท่านหันมาถามพวกเขาว่า “ถ้าลูกชายหรือวัวของคุณตกบ่อ ในวันสะบาโต คุณจะไม่รีบดึงขึ้นมาหรือ?” พวกเขาก็พูดไม่ออก" (ลูกา 14:1-6)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาชายตาบอด: "เมื่อพระเยซูเดินทางใกล้ถึงเมืองเยรีโค มีผู้ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อเขาได้ยินเสียงคนมากมายเดินผ่านไป เขาก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนบอกเขาว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกำลังผ่านมาทางนี้” เขาจึงร้องว่า “ท่านเยซู ลูกหลานดาวิด ขอเมตตาผมด้วย” คนที่เดินอยู่ข้างหน้าจึงบอกเขาให้เงียบ แต่เขากลับร้องตะโกนดังขึ้นอีกว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิดครับ ขอเมตตาผมด้วย” พระเยซูจึงหยุดเดินและสั่งให้พาคนนั้นมาหา แล้วท่านก็ถามเขาว่า “มีอะไรให้ผมช่วยไหม?” เขาตอบว่า “นายท่าน ช่วยทำให้ผมมองเห็นด้วยเถอะ” พระเยซูจึงบอกเขาว่า “ได้สิ มองเห็นเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายเป็นปกติแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้ แล้วเดินตามพระเยซูไป พร้อมกับสรรเสริญพระเจ้า เมื่อประชาชนเห็นอย่างนั้นก็พากันสรรเสริญพระเจ้าด้วย" (ลูกา 18:35-43)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนตาบอดสองคน: "เมื่อพระเยซูเดินทางต่อไปก็มีผู้ชายตาบอด 2 คน เดินตามท่านและร้องว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิดครับ ขอเมตตาพวกเราด้วย” พอพระเยซูเข้าไปในบ้าน ผู้ชายตาบอดสองคนนั้นก็ตามเข้าไป ท่านจึงถามพวกเขาว่า “คุณเชื่อจริง ๆ หรือว่าผมทำให้คุณมองเห็นได้?” ทั้งสองตอบว่า “เชื่อครับท่าน” พระเยซูจึงแตะที่ตาพวกเขา และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามที่คุณเชื่อเถอะ” แล้วพวกเขาก็มองเห็น และพระเยซูสั่งพวกเขาว่า “อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้” แต่เมื่อพวกเขาออกไปแล้วก็เล่าเรื่องของท่านจนลือกันไปทั่วเขตนั้น" (มัทธิว 9:27-31)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาคนหูหนวก: “พระเยซูออกจากบริเวณเมืองไทระ แล้วเดินทางผ่านเมืองไซดอน ผ่านเขตเดคาโปลิส จนถึงทะเลสาบกาลิลี ที่นั่น มีคนพาผู้ชายคนหนึ่งที่หูหนวกและพูดไม่ค่อยได้มาหาท่าน และขอร้องท่านให้วางมือบนเขา พระเยซูจึงพาเขาแยกออกมาจากฝูงชน แหย่นิ้วมือเข้าไปในหูทั้งสองข้างของเขา บ้วนน้ำลาย แล้วเอามาแตะที่ลิ้นของเขา ท่านเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจยาว ๆ และพูดกับเขาว่า “เอฟฟาธา” ซึ่งแปลว่า “เปิดออก” หูเขาก็ได้ยินทันที ลิ้นเขาก็ไม่ติดขัด และเริ่มพูดได้เป็นปกติ พระเยซูสั่งทุกคนไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่ยิ่งห้าม พวกเขาก็ยิ่งบอกเรื่องนี้ไปทั่ว พวกเขารู้สึกทึ่ง และพูดกันว่า “คนคนนี้ทำแต่เรื่องดี ๆ ขนาดคนหูหนวกเขายังทำให้ได้ยินและคนใบ้เขาก็ทำให้พูดได้”” (มาระโก 7:31-37)
พระเยซูคริสต์รักษาคนโรคเรื้อน: "มีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระเยซู เขาถึงกับคุกเข่าลงอ้อนวอนท่านว่า “เพียงแค่ท่านอยากช่วย ท่านก็จะรักษาผมได้” พระเยซูรู้สึกสงสารเขา จึงยื่นมือออกสัมผัสตัวเขาและพูดว่า “ผมอยากช่วย หายโรคเถอะ” แล้วเขาก็หายจากโรคเรื้อนทันที" (มาระโก 1:40-42)
การรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน: "ตอนที่พระเยซูเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ท่านใช้เส้นทางที่อยู่ระหว่างแคว้นสะมาเรียกับแคว้นกาลิลี เมื่อพระเยซูเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนโรคเรื้อน 10 คนเห็นท่าน แต่พวกเขายืนอยู่ห่าง ๆ และร้องตะโกนว่า “อาจารย์เยซู ขอเมตตาพวกเราด้วย” เมื่อพระเยซูเห็นพวกเขาก็พูดว่า “ไปหาปุโรหิตแล้วให้พวกเขาตรวจดู” และตอนที่อยู่กลางทางนั้นเอง พวกเขาก็หายโรค คนหนึ่งในนั้น เมื่อเห็นว่าหายโรคแล้ว ก็ย้อนกลับมาพร้อมกับสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง เขาหมอบลงที่เท้าของพระเยซูและขอบคุณท่าน ผู้ชายคนนี้เป็นคนสะมาเรีย พระเยซูถามว่า “มีตั้ง 10 คนหายโรคไม่ใช่หรือ? แล้วอีก 9 คนอยู่ไหนล่ะ? ไม่มีใครกลับมาสรรเสริญพระเจ้าเลยหรือนอกจากคนนี้ที่เป็นคนต่างชาติ?” แล้วท่านบอกเขาว่า “ลุกขึ้นกลับไปเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายโรคแล้ว”" (ลูกา 17:11-19)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาอัมพาต: "หลังจากนั้น มีเทศกาล ของชาวยิว และพระเยซูไปที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้ ๆ ประตูแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มที่ชื่อประตูแกะ มีสระน้ำที่เรียกในภาษาฮีบรูว่าเบธซาธา ซึ่งมีระเบียงทางเดิน 5 ระเบียง มีคนมากมายที่ป่วย ตาบอด ขาพิการ และแขนขาลีบ มานอนอยู่ที่ระเบียง ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งที่ป่วยมา 38 ปีแล้ว เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่และรู้ว่าเขาป่วยมานาน ท่านจึงพูดกับเขาว่า “คุณอยากหายป่วยไหม?” ผู้ชายที่ป่วยนั้นตอบว่า “คุณครับ ไม่มีใครช่วยพาผมลงไปในสระเลยตอนที่น้ำกระเพื่อม พอผมจะลงไป คนอื่นก็แย่งลงไปก่อน” พระเยซูบอกเขาว่า “ลุกขึ้น เก็บเสื่อ*ขึ้นมา แล้วเดินไปเถอะ” ผู้ชายคนนั้นก็หายป่วยทันที แล้วเขาก็เก็บเสื่อ*ของเขาและเดินไป" (ยอห์น 5:1-9)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาโรคลมบ้าหมู: “เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามเดินมาตรงที่ฝูงชนอยู่ ผู้ชายคนหนึ่งก็เข้ามาหาท่านและคุกเข่าลงอ้อนวอนว่า “นายท่าน ขอเมตตาลูกชายผมด้วย เขาป่วยเป็นโรคลมชัก เขาชักจนตกลงไปในน้ำและในกองไฟบ่อย ๆ ผมพาเขามาหาสาวกของท่านแล้ว แต่พวกเขารักษาไม่ได้” พระเยซูพูดว่า “คนสมัยนี้ขาดความเชื่อและไม่มีศีลธรรม ผมจะต้องอยู่กับพวกคุณอีกนานแค่ไหน? จะต้องทนกับพวกคุณไปอีกนานเท่าไหร่? ไหน พาเด็กมาที่นี่สิ” แล้วพระเยซูสั่งให้ปีศาจออกจากเด็ก และมันก็ออกไป ในตอนนั้นเอง เด็กผู้ชายคนนั้นก็หายโรค หลังจากนั้น พวกสาวกเข้ามาคุยกับพระเยซูเป็นส่วนตัวและถามว่า “ทำไมพวกผมขับไล่ปีศาจตนนั้นไม่ได้ล่ะครับ?” ท่านตอบพวกเขาว่า “ก็เพราะพวกคุณมีความเชื่อน้อย ผมจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคุณมีความเชื่อขนาดเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘ย้ายจากที่นี่ไปที่นั่น’ มันก็จะไป จะไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้เลย”” (มัทธิว 17:14-20)
พระเยซูคริสต์ทรงทำการอัศจรรย์โดยไม่รู้ตัว: "ตอนที่พระเยซูกำลังไปที่นั่น ฝูงชนเบียดเสียดท่าน ตอนนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาการตกเลือด มา 12 ปีแล้ว และไม่มีใครรักษาเธอได้ เธอแอบเข้ามาข้างหลังแล้วแตะชายเสื้อชั้นนอกของพระเยซู ทันใดนั้นเลือดก็หยุดไหล พระเยซูถามว่า “ใครมาถูกตัวผม?” เมื่อทุกคนปฏิเสธ เปโตรจึงบอกว่า “อาจารย์ มีคนมากมายเบียดเสียดท่านอยู่ไม่ใช่หรือครับ?” แต่พระเยซูพูดว่า “มีคนถูกตัวผมแน่ ๆ เพราะผมรู้สึกได้ว่าพลัง ออกจากตัว” พอผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหลบไม่พ้นแน่ ก็กลัวจนตัวสั่นและหมอบลงต่อหน้าท่าน แล้วเธอก็บอกทุกคนให้รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ถูกตัวพระเยซูและเธอหายโรคทันทีได้อย่างไร พระเยซูก็พูดกับเธอว่า “ความเชื่อของลูกทำให้ลูกหายโรคแล้ว ขอให้สบายใจเถอะ”" (ลูกา 8:42-48)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาจากระยะไกล: "มื่อพระเยซูสอนประชาชนเสร็จแล้ว ก็เข้าไปในเมืองคาเปอร์นาอุม ที่นั่นมีนายร้อยคนหนึ่งที่ทาสของเขาป่วยหนักใกล้ตาย และเขารักทาสคนนี้มาก เมื่อนายร้อยได้ยินเรื่องพระเยซู เขาก็ส่งผู้นำชุมชนชาวยิวบางคนไปขอให้พระเยซูมาช่วยรักษาทาสของเขา พวกเขามาหาพระเยซูและอ้อนวอนว่า “นายท่าน ขอไปช่วยเขาหน่อยเถอะครับ เพราะเขารักคนในชาติเราและสร้างที่ประชุมให้พวกเราด้วย” พระเยซูจึงไปกับพวกเขา แต่เมื่อเดินทางเกือบจะถึงบ้านของนายร้อย เขาก็ส่งเพื่อน ๆ มาบอกพระเยซูว่า “ท่านครับ อย่าลำบากเลย ผมไม่ดีพอที่จะให้ท่านเข้ามาในบ้านผมหรอก และผมก็คิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะไปหาท่านด้วย ขอให้ท่านสั่งมาก็พอ แล้วคนใช้ของผมก็จะหาย อย่างผมเองก็มีเจ้านายที่สั่งผมและมีลูกน้องที่ผมสั่งได้ด้วย ถ้าผมสั่งคนหนึ่งว่า ‘ไป’ เขาก็ไป หรือสั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา หรือสั่งทาสของผมให้ไปทำนั่นทำนี่ เขาก็ทำตาม” เมื่อได้ยินอย่างนั้น พระเยซูก็แปลกใจมาก และหันไปพูดกับผู้คนที่ตามท่านมาว่า “ผมจะบอกให้รู้ว่า ผมไม่เคยเจอใครที่มีความเชื่อมากขนาดนี้เลย แม้แต่คนอิสราเอลเองก็เถอะ” เมื่อพวกเพื่อน ๆ ที่ถูกส่งมากลับไปถึงบ้านนายร้อย ก็เห็นว่าทาสคนนั้นหายดีแล้ว" (ลูกา 7:1-10)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาผู้หญิงที่มีความทุพพลภาพเป็นเวลา 18 ปี: "ตอนที่พระเยซูสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิวในวันสะบาโต มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกปีศาจสิงทำให้ป่วยและหลังค่อมมา 18 ปีแล้ว เธอยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูเห็นเข้า ก็พูดกับเธอว่า “คุณหายป่วยแล้ว” ท่านวางมือบนผู้หญิงคนนั้น เธอก็ยืดตัวตรงได้ทันทีแล้วสรรเสริญพระเจ้า แต่หัวหน้าที่ประชุมแห่งนั้นไม่พอใจ เพราะพระเยซูรักษาโรคในวันสะบาโต เขาจึงบอกกับประชาชนที่นั่นว่า “มีตั้ง 6 วันที่จะทำงานได้ มารักษาใน 6 วันนั้นเถอะ+ อย่ามารักษาในวันสะบาโตเลย” พระเยซูบอกเขาว่า “พวกสองมาตรฐาน+ พวกคุณแต่ละคนแก้เชือกให้วัวหรือลาของตัวเอง แล้วจูงมันไปกินน้ำในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ? แล้วผู้หญิงคนนี้ที่เป็นลูกหลานของอับราฮัม และถูกซาตานมัดไว้ถึง 18 ปี ไม่ควรหรือที่จะปลดปล่อยเธอในวันสะบาโต?” คำพูดของพระเยซูทำให้คนที่ต่อต้านรู้สึกอับอายขายหน้า แต่ประชาชนกลับชื่นชมในสิ่งดี ๆ ที่ท่านทำ" (ลูกา 13:10-17)
พระเยซูคริสต์ทรงรักษาลูกสาวของหญิงชาวฟินีเซียน: "พระเยซูออกจากที่นั่น แล้วก็เดินทางไปบริเวณเมืองไทระและเมืองไซดอน มีผู้หญิงชาวฟีนิเซีย*คนหนึ่งจากแถบนั้นมาหาพระเยซูและร้องอ้อนวอนว่า “ท่านผู้เป็นลูกหลานดาวิด ขอเมตตาดิฉันด้วย ลูกสาวของดิฉันถูกปีศาจสิง เธอเจ็บปวดทรมานมาก” แต่พระเยซูไม่ตอบเธอเลยสักคำ พวกสาวกเข้ามาบอกท่านว่า “ไล่เธอไปเถอะ เพราะเธอตะโกนตามตื๊อเราไม่หยุด” พระเยซูบอกว่า “พระเจ้าส่งผมมาหาเฉพาะคนอิสราเอลเท่านั้น พวกเขาเป็นเหมือนแกะที่หลงหาย” แต่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาคำนับท่าน*และบอกว่า “นายท่าน ช่วยดิฉันด้วยเถอะ” พระเยซูพูดว่า “มันไม่ถูกหรอกนะที่จะเอาอาหารของลูก ๆ ไปโยนให้ลูกหมา” เธอบอกว่า “จริงค่ะท่าน แต่ลูกหมาก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนายมันไม่ใช่หรือคะ?” พระเยซูจึงตอบผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณนี่มีความเชื่อมากจริง ๆ ให้เป็นไปตามที่คุณขอเถอะ” แล้วตอนนั้นเอง ลูกสาวของเธอก็หายเป็นปกติ" (มัทธิว 15:21-28)
พระเยซูคริสต์ทรงหยุดพายุ: “ครั้งหนึ่ง พระเยซูลงเรือไปกับพวกสาวก แล้วเกิดพายุใหญ่ในทะเลสาบ คลื่นซัดจนน้ำท่วมเรือ แต่พระเยซูก็ยังนอนหลับอยู่ พวกสาวกจึงมาปลุกท่านและบอกว่า “นายครับ ช่วยชีวิตพวกเราด้วย พวกเรากำลังจะตายกันอยู่แล้ว” แต่ท่านบอกพวกเขาว่า “ทำไมต้องกลัว พวกคุณมีความเชื่อน้อยจริง ๆ” แล้วท่านก็ลุกขึ้นสั่งคลื่นลมให้สงบ และทุกอย่างก็สงบนิ่ง พวกเขาจึงแปลกใจมากและพูดกันว่า “ท่านเป็นใครกัน? แม้แต่ลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังท่านเลย”” (มัทธิว 8:23-27)
พระเยซูคริสต์ทรงดำเนินบนทะเล: "เมื่อผู้คนไปกันหมดแล้ว พระเยซูขึ้นไปอธิษฐานบนภูเขาคนเดียว พอถึงตอนค่ำ ท่านก็ยังอยู่ที่นั่นตามลำพัง ตอนนั้น เรือของสาวกออกไปไกลจากฝั่งหลายร้อยเมตรแล้ว และแล่นฝ่าคลื่นทวนลมอยู่ ในยาม 4 ของคืนนั้น พระเยซูเดินบนน้ำมาหาพวกเขา เมื่อพวกสาวกเห็นคนเดินบนน้ำ ก็ตกใจกลัวและพูดกันว่า “นั่นอะไรน่ะ!” แล้วพวกเขาก็ร้องเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว แต่พระเยซูรีบบอกพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ นี่ผมเอง ไม่ต้องกลัว” เปโตรพูดกับท่านว่า “อาจารย์ ถ้าเป็นท่านจริง ๆ ขอให้ผมเดินบนน้ำไปหาท่านได้ไหมครับ?” พระเยซูพูดว่า “มาสิ” เปโตรก็ลงจากเรือแล้วเดินบนน้ำไปหาท่าน แต่เมื่อมองที่พายุ เขาก็กลัวและเริ่มจะจม เขาร้องตะโกนว่า “อาจารย์ ช่วยผมด้วย!” พระเยซูรีบยื่นมือจับเปโตรไว้และพูดว่า “คนมีความเชื่อน้อย ทำไมต้องสงสัยด้วย?” และเมื่อพระเยซูกับเปโตรขึ้นมาอยู่บนเรือแล้ว พายุก็สงบลง สาวกที่อยู่ในเรือจึงหมอบลงแสดงความเคารพ และพูดว่า “อาจารย์ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ”" (มัทธิว 14:23-33)
การประมงปาฏิหาริย์: "วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูยืนอยู่ริมทะเลสาบเยนเนซาเรท มีคนมากมายเบียดเสียดท่านเพื่อฟังคำสอนของพระเจ้า พอท่านเห็นเรือ 2 ลำจอดอยู่ริมทะเลสาบและชาวประมงขึ้นจากเรือเพื่อซักอวน ท่านก็ลงเรือลำหนึ่งที่เป็นของซีโมน และขอให้เขาเอาเรือออกจากฝั่งเล็กน้อย ท่านนั่งลงและเริ่มสอนประชาชนจากบนเรือ พอสอนเสร็จ พระเยซูก็บอกซีโมนว่า “เอาเรือออกไปตรงที่น้ำลึกหน่อย แล้วหย่อนอวนลงจับปลา” แต่ซีโมนบอกว่า “อาจารย์ครับ พวกเราเหนื่อยมาทั้งคืนแต่ไม่ได้ปลาเลย แต่ผมจะลองหย่อนอวนอีกทีตามที่ท่านบอกก็ได้” พอพวกเขาหย่อนอวนลง ก็จับปลาได้มากมายจนอวนเริ่มจะขาด พวกเขาจึงโบกมือเรียกเพื่อน ๆ ในเรืออีกลำให้มาช่วย แล้วพวกเขาก็ได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำจนเรือแทบจะจม เมื่อซีโมนเปโตรเห็นอย่างนี้ก็ทรุดลงกราบที่เข่าของพระเยซูและพูดว่า “นายครับ อย่าอยู่ใกล้ผมเลย ผมเป็นคนบาป” ที่พูดอย่างนั้นเพราะตัวเขากับเพื่อน ๆ ตกตะลึงที่จับปลาได้มากขนาดนั้น ยากอบกับยอห์น ลูกของเศเบดี ที่เป็นหุ้นส่วนกับซีโมนก็ตกตะลึงเหมือนกัน แต่พระเยซูบอกซีโมนว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้คุณจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา” พอเอาเรือกลับเข้าฝั่งแล้ว พวกเขาก็ทิ้งทุกอย่างและตามท่านไป" (ลูกา 5:1-11)
พระเยซูคริสต์ทวีขนมปัง: "หลังจากนั้น พระเยซูนั่งเรือข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกกันว่าทิเบเรียส มีคนมากมายตามท่านไป เพราะพวกเขาเห็นท่านรักษาคนป่วยอย่างอัศจรรย์ พระเยซูขึ้นไปบนภูเขาและนั่งลงกับพวกสาวก 4 ตอนนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกา ของชาวยิวแล้ว เมื่อพระเยซูเงยหน้าและเห็นคนมากมายมาหา ท่านจึงถามฟีลิปว่า “พวกเราจะหาซื้อขนมปังจากที่ไหนดีถึงจะพอเลี้ยงคนทั้งหมดนี้ได้?” ที่พระเยซูพูดอย่างนั้นก็เพื่อทดสอบเขา เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าจะทำอย่างไร ฟีลิปตอบท่านว่า “ต่อให้มีเงิน 200 เดนาริอัน*ก็ยังไม่พอซื้อขนมปังให้พวกเขากินกันคนละนิดละหน่อยเลย” สาวกอีกคนหนึ่งชื่ออันดรูว์ที่เป็นพี่น้องกับซีโมนเปโตรบอกพระเยซูว่า “เด็กคนนี้มีขนมปังบาร์เลย์ 5 อันกับปลาเล็ก ๆ 2 ตัว แต่แค่นี้คงไม่พอเลี้ยงคนมากขนาดนี้หรอก” พระเยซูจึงสั่งพวกสาวกว่า “บอกให้พวกเขานั่งลง” ทุกคนก็นั่งลงเพราะที่นั่นเป็นพื้นหญ้า คนที่อยู่ที่นั่นมีผู้ชายประมาณ 5,000 คน พระเยซูหยิบขนมปังมา อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า แล้วแจกจ่ายให้ทุกคนที่นั่งอยู่ และท่านก็แจกจ่ายปลาด้วย ทุกคนได้กินจนอิ่ม เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้ว ท่านสั่งพวกสาวกว่า “เก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ จะได้ไม่เสียของ” พวกสาวกก็เก็บเศษที่เหลือจากขนมปังบาร์เลย์ 5 อันนั้นได้ 12 ตะกร้าเต็ม ๆเมื่อประชาชนเห็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำ พวกเขาก็พูดกันว่า “ท่านนี้เป็นผู้พยากรณ์คนนั้นที่จะมาในโลกแน่ ๆ” พอพระเยซูรู้ว่าพวกเขาพยายามจะตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ ท่านก็ปลีกตัวไป อยู่ที่ภูเขาคนเดียว" (ยอห์น 6:1-15) จะมีอาหารมากมายทั่วโลก (สดุดี 72:16; อิสยาห์ 30:23)
ปาฏิหาริย์นี้แสดงให้เห็นว่าในโลกใหม่จะไม่มีพายุหรืออุทกภัยที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติอีกต่อไป พระเยซูคริสต์ คืนชีพ บุตรชายของหญิงม่าย: "จากนั้นไม่นาน พระเยซูเดินทางไปที่เมืองนาอิน พวกสาวกกับคนกลุ่มใหญ่ก็ตามไปด้วย เมื่อใกล้จะถึงประตูเมือง มีคนหามศพผู้ชายคนหนึ่งสวนทางออกมา คนตายนั้นเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ม่าย มีคนมากมายจากเมืองนั้นมากับเธอด้วย เมื่อพระเยซูเห็นแม่ม่ายคนนั้นก็สงสาร จึงพูดกับเธอว่า “อย่าร้องไห้เลย” แล้วท่านเข้าไปใกล้และแตะแคร่นั้น คนที่หามแคร่ก็หยุด และท่านพูดว่า “หนุ่มน้อย ผมขอบอกให้คุณลุกขึ้น” คนตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มพูด พระเยซูจึงมอบเขาให้แม่ ทุกคนก็กลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้าว่า “มีผู้พยากรณ์ที่ยิ่งใหญ่มาอยู่ในหมู่พวกเราแล้ว” และพูดว่า “พระเจ้าหันมาสนใจประชาชนของพระองค์แล้ว” ชื่อเสียงของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดียและทั่วแถบนั้น” (ลูกา 7:11-17)
พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนชีพลูกสาวของไยรัส: "พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนจากบ้านของไยรอสมาบอกเขาว่า “ลูกสาวคุณตายแล้ว คงไม่ต้องรบกวนอาจารย์แล้วล่ะ” เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้น จึงบอกไยรอสว่า “ไม่ต้องกลัว ขอให้เชื่อเถอะ ลูกสาวคุณจะไม่เป็นอะไร” เมื่อไปถึงบ้านของเขา พระเยซูไม่ให้ใครตามเข้าไปด้วยนอกจากเปโตร ยอห์น ยากอบ และพ่อแม่ของเด็ก ตอนนั้น ผู้คนพากันร้องไห้คร่ำครวญที่เด็กตาย พระเยซูจึงพูดว่า “หยุดร้องไห้เถอะ เด็กคนนี้ไม่ได้ตาย แต่นอนหลับอยู่” พวกเขาก็หัวเราะเยาะเพราะรู้ว่าเด็กตายแล้วจริง ๆ พระเยซูจับมือเด็กและพูดว่า “หนูน้อย ลุกขึ้นมาเถอะ” เด็กคนนั้นก็กลับมีชีวิตอีก และลุกขึ้นมาทันที แล้วพระเยซูก็บอกให้พวกเขาเอาอาหารมาให้เธอกิน พ่อแม่ของเด็กดีใจมาก แต่พระเยซูสั่งพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง" (ลูกา 8:49-56)
พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนชีพเพื่อนลาซารัสผู้ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อสี่วันก่อน: "พระเยซูยังไม่ได้เข้าหมู่บ้าน ท่านยังอยู่ตรงที่ที่มาร์ธาไปหา เมื่อคนยิวที่ปลอบใจมารีย์อยู่ในบ้านเห็นเธอรีบออกไป พวกเขาก็ตามไปด้วย เพราะคิดว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ เมื่อมารีย์ได้พบพระเยซู เธอก็หมอบลงแทบเท้าท่านแล้วพูดว่า “นายคะ ถ้าท่านอยู่ที่นี่ เขาคงไม่ตาย” เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย ท่านก็เศร้าและสะเทือนใจ ท่านถามว่า “พวกคุณฝังศพเขาไว้ที่ไหน?” พวกเขาตอบว่า “ตามมาดูสิ นายท่าน” แล้วพระเยซูก็ร้องไห้น้ำตาไหล พวกยิวเห็นอย่างนั้นก็พูดกันว่า “ดูสิ เขารักลาซารัสมากจริง ๆ” แต่มีบางคนพูดว่า “ผู้ชายคนนี้เคยทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ แล้วเขาทำให้คนนี้รอดตายไม่ได้หรือ?”
เมื่อใกล้ถึงอุโมงค์ฝังศพ พระเยซูก็รู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาอีก อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำและมีหินปิดปากถ้ำไว้ พระเยซูสั่งว่า “เลื่อนหินออกไปสิ” มาร์ธาซึ่งเป็นพี่น้องกับผู้ตายบอกท่านว่า “นายคะ ป่านนี้ศพคงเหม็นแย่แล้ว เพราะตายมาตั้ง 4 วันแล้ว” พระเยซูบอกเธอว่า “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าคุณเชื่อ คุณจะได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?” พวกเขาจึงเลื่อนหินที่ปิดปากถ้ำออก แล้วพระเยซูก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า และพูดว่า “พ่อครับ ผมขอบคุณที่พระองค์ฟังคำขอร้องของผม ผมรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ฟังผมเสมอ แต่ที่ผมขอคราวนี้ก็เพื่อคนที่ยืนอยู่รอบ ๆ พวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา” เมื่อพูดจบแล้ว ท่านก็ร้องเรียกเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมา” ลาซารัสที่ตายไปแล้วก็เดินออกมาทั้ง ๆ ที่ยังมีผ้าพันมือและเท้าอยู่ และที่หน้าก็มีผ้าพันไว้ด้วย พระเยซูสั่งพวกเขาว่า “เอาผ้าพวกนั้นออกให้เขาหน่อย เขาจะได้เดินสะดวก”” (จอห์น 11:30-44)
การประมงปาฏิหาริย์ล่าสุด (ไม่นานหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์): "ตอนเช้าตรู่ พระเยซูยืนอยู่บนฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู แล้วพระเยซูตะโกนถามพวกเขาว่า “ลูก ๆ มีอะไรกินบ้างไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่มีเลย” พระเยซูพูดว่า “หย่อนอวนลงทางขวาของเรือสิ แล้วจะได้ปลา” พวกเขาก็หย่อนอวนลง แล้วได้ปลามากมายจนดึงขึ้นมาบนเรือไม่ไหว สาวกคนที่พระเยซูรัก จึงพูดกับเปโตรว่า “นั่นนายของเรานี่” พอซีโมนเปโตรได้ยินว่าคนนั้นคือผู้เป็นนาย ก็หยิบเสื้อมาใส่แล้วกระโดดลงน้ำเพราะตอนนั้นเขาถอดเสื้ออยู่ แต่สาวกคนอื่น ๆ เอาเรือเล็กลำนั้นลากอวนที่มีปลาอยู่เต็มเข้าฝั่ง พวกเขาอยู่ไม่ห่างฝั่ง แค่ประมาณ 90 เมตร" (ยอห์น 21:4-8)
พระเยซูคริสต์ทรงทำปาฏิหาริย์อื่น ๆ อีกมากมาย พวกเขาเสริมสร้างศรัทธาของเราหนุนใจเราและมองเห็นพรมากมายที่จะเกิดขึ้นบนโลก ถ้อยคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรของอัครสาวกจอห์นสรุปปาฏิหาริย์จำนวนมหาศาลที่พระเยซูคริสต์ทำเพื่อรับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนโลก: "ที่จริง พระเยซูยังทำอะไรอีกมากมาย ถ้าจะเขียนไว้ทั้งหมดละก็ ผมคิดว่าโลกนี้คงไม่มีที่พอจะเก็บม้วนหนังสือทั้งหมดนั้นได้" (จอห์น 21:25)
การสอนพื้นฐานของพระคัมภีร์
•พระเจ้ามีพระนามว่าพระยะโฮวา เราต้องนมัสการพระยะโฮวาเท่านั้น เราต้องรักพระองค์ด้วยพลังชีวิตทั้งหมดของเรา: “พระยะโฮวา พระเจ้าของเรา พระองค์สมควรจะได้รับการยกย่องสรรเสริญ ความนับถือ และฤทธิ์อำนาจ เพราะพระองค์สร้างทุกสิ่ง ทุกสิ่งมีอยู่และถูกสร้างขึ้นตามความต้องการของพระองค์” (อิสยาห์ 42: 8 วิวรณ์ 4:11 มัทธิว 22:37) (The Revealed Name; Worship Jehovah; In Congregation) พระเจ้าไม่ได้เป็นไตรลักษณ์
•พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าในแง่ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงอันเดียวของพระเจ้าที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าโดยตรง: "“คนเขาพูดกันว่า ‘ลูกมนุษย์’ เป็นใคร?” พวกเขาตอบว่า “บางคนบอกว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนบอกว่าเป็นเอลียาห์ แต่ก็มีบางคนบอกว่าเป็นเยเรมีย์หรือไม่ก็เป็นหนึ่งในพวกผู้พยากรณ์” พระเยซูถามพวกเขาว่า “แล้วพวกคุณล่ะ คิดว่าผมเป็นใคร?” ซีโมนเปโตรตอบว่า “ท่านเป็นพระคริสต์ ลูกของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่” พระเยซูจึงบอกเขาว่า “ซีโมนลูกโยนาห์ ดีใจเถอะ เพราะผู้ที่เปิดเผยเรื่องนี้ให้คุณรู้คือพ่อของผมในสวรรค์ ไม่ใช่มนุษย์" (มัทธิว 16:13-17, ยอห์น 1:1-3) (Jesus Christ the Only Path; The King Jesus Christ) พระเยซูคริสต์ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพและพระองค์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตรีเอกภาพ
•พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เขาไม่ใช่คน: "และพวกเขาก็เห็นบางสิ่งเหมือนเปลวไฟรูปร่างคล้ายลิ้นลอยอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน" (กิจการ 2: 3) พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตรีเอกานุภาพ
•พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า:
"พระคัมภีร์ทุกตอน พระเจ้าดลใจให้เขียนขึ้นมา มีประโยชน์สำหรับสอน ว่ากล่าวตักเตือน แก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และสั่งสอนคนให้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถเพียงพอ และมีความพร้อมสำหรับงานที่ดีทุกอย่าง"
(2 ทิโมธี 3: 16,17) เราต้องอ่านศึกษาและประยุกต์ใช้ในชีวิตของเรา (สดุดี 1: 1-3) (Read the Bible Daily)
•เฉพาะความเชื่อในการเสียสละของพระคริสต์ช่วยให้สามารถให้อภัยบาปและรักษาและฟื้นคืนพระชนม์ของคนตาย: “พระเจ้ารักโลกมาก จนถึงกับยอมสละลูกคนเดียว*ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในท่านจะไม่ถูกทำลาย
แต่จะมีชีวิตตลอดไป" (ยอห์น 3:16, มัทธิว 20:28) (อนุสรณ์แห่งความตายของพระเยซูคริสต์ ; The Memorial of the Death of Jesus Christ (Slideshow))
•ราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นรัฐบาลสวรรค์ที่ก่อตั้งขึ้นในสวรรค์เมื่อปีพ. ศ. 2457 ซึ่งกษัตริย์คือพระเยซูคริสต์พร้อมด้วยกษัตริย์และปุโรหิต 144,000 คนซึ่งเป็น"กรุงเยรูซาเล็มใหม่"ซึ่งเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์รัฐบาลแห่งสวรรค์ของพระเจ้าจะยุติการปกครองของมนุษย์ในปัจจุบันในช่วงความทุกข์ทรมานที่ยิ่งใหญ่และจะได้รับการสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก: "ในสมัยที่กษัตริย์พวกนั้นปกครองอยู่ พระเจ้าในสวรรค์จะตั้งรัฐบาล หนึ่ง ซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย และรัฐบาลนี้จะไม่ตกเป็นของคนชาติไหน แต่รัฐบาลนี้จะทำลายอาณาจักรทั้งหมดนั้นให้สูญสิ้นไป และจะเป็นรัฐบาลเดียวที่คงอยู่ตลอดไป" (วิวรณ์ 12: 7-12, 21: 1-4, มัทธิว 6: 9,10, ดาเนียล 2:44) (The End of Patriotism; The King Jesus Christ; The Earthly Administration of the Kingdom of God).
•ความตายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับชีวิต วิญญาณตายและวิญญาณ (ชีวิต) หายไป: "อย่าวางใจพวกเจ้านาย หรือไว้ใจมนุษย์ที่ช่วยให้รอดไม่ได้ เมื่อเขาหมดลมหายใจ เขาก็กลับเป็นดิน และในวันนั้นความคิดของเขาก็สูญหายไป" (สดุดี 146: 3,4, ปัญญาจารย์ 3: 19,20, 9: 5,10)
•จะมีการคืนพระชนม์ของคนชอบธรรมและคนอธรรม(ยอห์น5:28,29,กิจการ24:15)ผู้ที่ไม่ชอบธรรมจะได้รับการตัดสินบนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขาในช่วงรัชสมัย
1000 ปี (ไม่ใช่จากพฤติกรรมในอดีตของพวกเขา) ซึ่งจะเริ่มขึ้นหลังจากความทุกข์ยากที่ยิ่งใหญ่: "แล้วผมก็เห็นบัลลังก์ใหญ่สีขาวกับผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น โลกและฟ้าสวรรค์หายวับไปจากสายตาพระองค์ ไม่มีที่สำหรับโลกและฟ้าสวรรค์อีกเลย
แล้วผมก็เห็นคนตายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์นั้น และม้วนหนังสือต่าง ๆ ถูกคลี่ออก มีม้วนหนังสืออีกม้วนหนึ่งถูกคลี่ออกด้วย คือม้วนหนังสือที่มีรายชื่อคนที่จะได้ชีวิต แล้วคนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตัวเองโดยอาศัยสิ่งที่เขียนไว้ในม้วนหนังสือต่าง
ๆ นั้น ทะเลได้ปล่อยคนที่ตายในทะเล ความตายและหลุมศพ ก็ปล่อยคนตายที่อยู่ในนั้น แล้วพวกเขาแต่ละคนก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตัวเอง" (วิวรณ์ 20: 11-13) (The Earthly Resurrection; The Administration of the Earthly Resurrection; The Judgment of the unrighteous)
•มีมนุษย์เพียง144,000คนเท่านั้นที่จะไปสวรรค์ด้วยพระเยซูคริสต์ฝูงชนที่ยิ่งใหญ่ที่กล่าวถึงในวิวรณ์7:9..17คือผู้ที่จะรอดพ้นความทุกข์ยากอันยิ่งใหญ่และจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในสวรรค์ของโลก:
"และผมได้ยินว่าคนที่ถูกประทับตรามีจำนวน 144,000 คน มาจากทุกตระกูลของชาวอิสราเอล คือ (...) หลังจากนั้น ผมก็เห็น ดูนั่น! มีชนฝูงใหญ่ที่ไม่มีใครนับจำนวนได้ จากทุกประเทศ ทุกตระกูล ทุกชนชาติ และทุกภาษา ยืนอยู่หน้าบัลลังก์และหน้าลูกแกะของพระเจ้า
พวกเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว และถือใบปาล์ม (...) ผมตอบทันทีว่า “ท่านครับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกผมว่า “พวกเขาเป็นคนที่ผ่านความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่ และได้ซักเสื้อคลุมของตัวเองและทำให้ขาวด้วยเลือดของลูกแกะของพระเจ้า
(วิวรณ์ 7: 3-8; 14: 1-5; 7:9-17) (The Heavenly Resurrection (144000); The
Great Crowd)
•เราอยู่ในวันสุดท้าย สิ้นสุดจะเป็นความทุกข์ยากที่ยิ่งใหญ่ (มัทธิว 24,25, มาระโก 13, ลุค 21 วิวรณ์ 19: 11-21) การปรากฏตัว (Parousia) ของพระคริสตเจ้าเริ่มล่องหนตั้งแต่ปีพ.
ศ. 2457 และจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดพันปี: "เมื่อพระเยซูนั่งอยู่บนภูเขามะกอก พวกสาวกเข้ามาถามท่านเป็นส่วนตัวว่า “ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะมีอะไรเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าท่านประทับอยู่
และบอกให้รู้ว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้ายของโลกนี้?”" (มัทธิว 24: 3) (The King Jesus Christ)
•พระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรแก่มนุษยชาติ: "แล้วผมได้ยินเสียงดังจากบัลลังก์นั้นบอกว่า “ดูนั่นสิ เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะอยู่กับพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชาชนของพระองค์
พระเจ้าจะอยู่กับพวกเขา" (อิสยาห์ 11,35,65 วิวรณ์ 21: 1-5) (The Release)
•พระเจ้ายอมให้มีความชั่วร้าย นี่เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายของซาตานต่อความชอบธรรมของอำนาจอธิปไตยของพระยะโฮวา (ปฐมกาล 3: 1-6) และยังให้คำตอบสำหรับข้อกล่าวหาของซาตานเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตมนุษย์ (โยบ 1: 7-12; 2: 1-6) พระเจ้าไม่รับผิดชอบต่อความทุกข์ทรมาน (ยากอบ 1:13) ความทุกข์ทรมานเป็นผลมาจากปัจจัยหลักสี่ประการ: มารอาจเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน (แต่ไม่เสมอไป) (โยบ 1: 7-12; 2: 1-6) (Satan Hurled) ความทุกข์ทรมานเป็นผลมาจากสภาพทั่วไปของเราที่สืบเชื้อสายของอาดัมซึ่งนำเราไปสู่ยุคแก่ความเจ็บป่วยและความตาย (โรม 5:12, 6:23) ความทุกข์ทรมานอาจเป็นผลมาจากการตัดสินใจของมนุษย์ที่ไม่ดี (ในส่วนของเราหรือของมนุษย์คนอื่น) เนื่องจากรัฐบาปที่ได้รับมาจากอาดัม (ดิวเทอโร 32: 5 โรม 7:19) ความทุกข์ทรมานอาจเป็นผลมาจาก "เหตุการณ์และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง" ซึ่งทำให้บุคคลต้องผิดพลาดในเวลาที่ไม่ถูกต้อง (ปัญญาจารย์ 9:11) ชะตาไม่ได้เป็นคำสอนในพระคัมภีร์เราไม่ใช่ "ถูกบังคับ" เพื่อทำดีหรือชั่ว แต่เราจะเลือก "ดี" หรือ "ชั่ว" (ดิวเทอโร 30:15)
สิ่งต้องห้ามในพระคัมภีร์
ความเกลียดชังถูกห้าม: "คนที่เกลียดพี่น้องก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกคุณก็รู้ว่าผู้ฆ่าคนจะไม่ได้ชีวิตตลอดไป เราได้มารู้ว่าความรักเป็นอย่างไรก็เพราะพระเยซูสละชีวิตเพื่อเรา
เราจึงควรสละชีวิตเพื่อพี่น้องด้วย" (1 ยอห์น 3:15,16) การฆาตกรรมเป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเหตุผลส่วนตัวด้วยความรักชาติทางศาสนาหรือโดยความรักชาติของรัฐ: "พระเยซูบอกคนนั้นว่า “เก็บดาบใส่ฝักซะ เพราะทุกคนที่ใช้ดาบจะตายด้วยดาบ" (มัทธิว
26:52) (End of Patriotism)
การโจรกรรมเป็นสิ่งต้องห้าม: "คนที่ขโมยก็ให้เลิกขโมย แล้วหันมาทำงานที่สุจริตด้วยความขยันขันแข็ง
เพื่อจะได้มีอะไรแจกให้คนขัดสนบ้าง" (เอเฟซัส 4:28)
การโกหกต้องห้าม: "อย่าโกหกกัน ให้ทิ้ง*ลักษณะนิสัยเก่า กับสิ่งต่าง ๆ ที่เคยทำ" (โคโลสี 3:9)
ข้อห้ามอื่น ๆ :
"ดังนั้น ผมเห็นว่า ไม่ควรให้คนต่างชาติที่หันมาหาพระเจ้าต้องยุ่งยากลำบากใจ แต่ให้เขียนบอกพวกเขาว่าให้งดเว้นจากของที่เซ่นไหว้รูปเคารพ จากการผิดศีลธรรมทางเพศ จากสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากเลือด" (กิจการ 15:19,20)
สิ่งที่ได้รับการปนเปื้อนจากไอดอล: นี่คือ "สิ่ง" ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางศาสนาที่ขัดต่อพระคัมภีร์ไบเบิลการเฉลิมฉลองวันหยุดของชาวป่าเถื่อน นี่อาจเป็นแนวทางปฏิบัติทางศาสนาก่อนการฆ่าหรือการบริโภคเนื้อสัตว์: "เนื้อที่ขายกันตามตลาดนั้นกินได้โดยไม่ต้องถามว่ามาจากไหน คุณไม่ต้องกังวล เพราะ “โลกและทุกสิ่งในโลกเป็นของพระยะโฮวา” ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อเชิญคุณไปกินอาหารและคุณก็อยากไป ก็ให้กินทุกอย่างที่เขาจัดมาให้และไม่ต้องถามอะไรเพื่อเห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณ แต่ถ้ามีใครบอกว่า “นี่เป็นของไหว้” ก็อย่ากิน เพื่อเห็นแก่คนที่บอกคุณและเพื่อเห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีด้วย ผมไม่ได้หมายถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคุณเอง แต่ของคนที่บอกคุณ ผมมีสิทธิ์จะกินก็จริง แต่ผมไม่ต้องการใช้สิทธิ์นั้นแล้วถูกตัดสินโดยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของคนอื่น ถ้าผมขอบคุณพระเจ้าและกินของนั้น แล้วคนอื่นตำหนิผม ผมควรจะกินไหม?" (1 โครินธ์ 10:25-30)
"อย่ามีส่วนร่วมอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะความดี จะมีส่วนร่วมกับความชั่วได้อย่างไร? ความสว่างจะเข้ากับความมืดได้หรือ? พระคริสต์กับเบลีอัล จะไปด้วยกันได้ไหม? คนที่เชื่อจะมีอะไรเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อ? วิหารของพระเจ้าจะมีรูปเคารพได้หรือ? เราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ เหมือนที่พระองค์บอกไว้ว่า “เราจะอยู่กับพวกเขา+และจะไปด้วยกันกับพวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาจะเป็นประชาชนของเรา” “พระยะโฮวา*จึงสั่งว่า ‘ดังนั้น ออกมาจากพวกเขาและแยกอยู่ต่างหาก เลิกแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด’” “‘และเราจะรับพวกเจ้าไว้’” “พระยะโฮวา*ผู้มีพลังอำนาจสูงสุดบอกว่า ‘เราจะเป็นพ่อของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นลูกชายลูกสาวของเรา’” (2 โครินธ์ 6:14-18)
อย่าเคารพบูชากฎเกณฑ์ทางศาสนาไอดอล มีความจำเป็นที่จะต้องทำลายวัตถุหรือรูปเคารพที่นับถือรูปเคารพรูปกางเขนรูปปั้นเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา (มัทธิว 7: 13-23) อย่าปฏิบัติลัทธิไสยเวท: เวทมนตร์, โหราศาสตร์ ... เราต้องทำลายวัตถุทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับลัทธิไสยเวท (กิจการ 19:19, 20)
อย่าดูภาพยนตร์หรือภาพลามกอนาจารหรือภละย่อยสลาย งดเว้นจากการเล่นการพนันการใช้ยาเสพติดเช่นกัญชาพลูยาสูบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่วนเกิน: "ดังนั้น พี่น้องครับ พระเจ้ากรุณาต่อคุณมากจริง ๆ ผมจึงขอร้องคุณให้ถวายร่างกาย เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ที่บริสุทธิ์ ที่พระเจ้ายอมรับได้ การทำอย่างนี้เป็นการรับใช้ที่ศักดิ์สิทธิ์โดยใช้ความสามารถในการคิดหาเหตุผลของคุณ" (โรม 12: 1, มัทธิว 5: 27-30, สดุดี 11: 5)
การผิดศีลธรรมทางเพศ (การผิดประเวณี): การล่วงประเวณี, เพศที่ไม่ได้แต่งงาน (ชาย / หญิง), ชายและหญิงรักร่วมเพศ, และพฤติกรรมทางเพศที่บิดเบือน: "พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนทำชั่วจะไม่ได้รับรัฐบาลของพระเจ้า? อย่าหลอกตัวเองเลย คนทำผิดศีลธรรมทางเพศ คนไหว้รูปเคารพ+ คนเล่นชู้ ผู้ชายที่สนองความใคร่ผู้ชายด้วยกัน+ ผู้ชายรักร่วมเพศ ขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย และคนชอบรีดไถ จะไม่ได้รับรัฐบาลของพระเจ้า" (1 โครินธ์ 6:9,10) "ให้ชีวิตสมรสเป็นแบบที่น่านับถือในสายตาของทุกคน และให้สามีภรรยาซื่อสัตย์ต่อกัน เพราะพระเจ้าจะตัดสินลงโทษคนทำผิดศีลธรรมทางเพศ และคนเล่นชู้" (ฮีบรู 13:4)
มีภรรยาหลายคน เป็นสิ่งต้องห้าม คุณต้องอยู่กับผู้หญิงคนแรกเท่านั้น เพื่อกรุณาพระเจ้า (1 ทิโมธี 3:2) การสำเร็จความใคร่เป็นสิ่งต้องห้ามในพระคัมภีร์: "ดังนั้น ให้กำจัดแนวโน้มแบบโลกซึ่งอยู่ในอวัยวะของพวกคุณ คือการผิดศีลธรรมทางเพศ* การกระทำที่ไม่สะอาด ความใคร่แบบที่ไม่มีการควบคุม ความต้องการที่ก่อความเสียหาย และความโลภซึ่งเท่ากับเป็นการไหว้รูปเคารพ" (โคโลสี 3:5)
ห้ามกินเลือดแม้ในการบำบัดรักษา (การถ่ายเลือด): "แต่เนื้อที่ยังมีเลือดอยู่นั้นพวกเจ้าอย่ากิน เพราะเลือดหมายถึงชีวิต"
(ปฐมกาล 9:4) (The Sacred Blood; The Sacred Life)
ทุกสิ่งที่ถูกประณามจากพระคัมภีร์ไม่ได้สะกดออกมาในการศึกษาพระคัมภีร์ฉบับนี้คริสเตียนที่มีวุฒิภาวะและมีความรู้เกี่ยวกับหลักการของพระคัมภีร์จะรู้ความแตกต่างระหว่าง "ดี" กับ "ความชั่ว"
แม้ว่าจะไม่ได้เขียนไว้ในพระคัมภีร์โดยตรงก็ตาม: "แต่อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งได้ฝึกใช้ความคิด จนแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด" (ฮีบรู 5:14) (SPIRITUAL MATURITY)